บทเรียนที่ 1 เดือนมิถุนายน 1998
หัวข้อเรื่อง พระคุณของพระจิตที่ทำให้เราคิดเหมือนพระเยซู
จุดมุ่งหมาย
 เพื่อให้ผู้เรียน
                 1. รู้จักพระคุณ 3 ประการแรกของพระจิต คือ พระดำริ สติปัญญา ความรู้
                 2. ขอบคุณพระจิตที่ประทานพระคุณทั้ง 3 ประการนี้ให้
                 3. นำพระคุณทั้ง 3 ประการนี้ไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ครูนำภาพที่แนบมาท้ายบทเรียนนี้ให้ผู้เรียนดูทีละภาพ (อาจใช้ภาพอื่นๆ ที่หามาได้มาทดแทนก็ได้) ให้ผู้เรียนใช้เวลาคิดพิจารณา ตริตรองอย่างเงียบๆ 2-3 นาที ในแต่ละภาพ
เมื่อเสร็จแต่ละภาพแล้ว ถามผู้เรียนว่า

- เห็นภาพนี้แล้วคิดถึงอะไร?
- ภาพนี้มีความหมายหรือบทสอนอะไรสำหรับตัวเอง?

ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
รวบรวมความคิดของผู้เรียนที่มีต่อภาพทั้งหมด แยกเป็น 2 ประเภทคือ
- ประเภทบวก (สร้างสรรค์ ส่งเสริม น่าเอาอย่าง ชอบ ฯลฯ)
- ประเภทลบมีความหมายหรือบทสอนอะไรสำหรับตัวเอง)
ภาพเดียวกันเมื่อดูแล้วเกิดความรู้สึกต่างๆ กัน เพราะเหตุใด?

สรุป มนุษย์นานาจิตตัง ตัดสินตามเกณฑ์มาตรฐานของตัวเองบางครั้งไม่เพียงต่างกันเฉพาะบวก-ลบ แต่ต่างกันในเรื่องถูกผิดด้วย

ขั้นที่ 3 คำสอน
1. เมื่อคิดถูกต้อง เหมาะสม เหมือนกัน เรามนุษย์ต้องการเกณฑ์มาตรฐานอันเดียวกัน ซึ่งหาเกณฑ์ดังกล่าวไม่พบในโลกนี้ มีแต่องค์พระเป็นเจ้าเท่านั้น และเป็นต้นในองค์พระจิต ซึ่งพระเยซูคริสตืได้ส่งมาในโลกนี้เพื่อ “ทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องเห็นผิด ความชอบธรรมและการพิพากษา” (ยน 16:8) และพระจิตทรงทำงานนี้อยู่ในตัวเราแต่ละคน อย่างไร?

2. โดยผ่านทางพระคุณพิเศษของพระองค์ที่เราสเรียกว่า “พระคุณ 7 ประการ” นี้ มีอยู่ 3 ประการที่มีฤทธิ์และพลังพิเศษทำให้เราคิดเหมือนพระเยซู ได้แก่

 พระดำริ หรือ “ปรีชาญาณ” เป็นพระคุณที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงพระเป็นเจ้า คล้ายๆ กับที่เรารู้ซึ้งถึงความหมายของภาพเมื่อสักครู่นี้ แต่ลึกซึ้งกว่ามากนัก พระคุณนี้ทำให้เรารู้ว่าพระเป็นเจ้านั้นสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ เที่ยงแท้ ไม่เปลี่ยนแปร เพราะฉะนั้นเกณฑ์การมองและการตัดสินของพระเจ้าจึงเที่ยงแท้ ถูกต้อง ไม่เปลี่ยนแปร เมื่อเรามีพระคุณแห่งพระดำรินี้เราก็จะมองจะคิด จะตัดสินส่งต่างๆ ด้วยสายตาของพระเป็นเจ้า เช่น พระเจ้าสำคัญกว่าสรรพสิ่ง จิตใจสำคัญกว่าร่างกาย ของในโลกนี้มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความรอด

 ตัวอย่างของผู้ที่มีพระคุณแห่งพระดำริแก่กษัตริย์ซาโลมอนซึ่งทูลพระเจ้าว่า พระคุณอื่นใดไม่ต้องการ ขอเพียงพระดำริเพื่อจะได้สามารถคิดและตัดสินเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เที่ยงธรรมและพระเป็นเจ้าก็ประทานให้ ปรากฏว่ากษัตริย์ซาดลมอนได้ตัดสินคดีความที่มีชื่อเสียงก้องโลกจนทุกวันนี้ นั่นก็คือ แม่ลูกอ่อน 2 คนนอนในห้องเดียวกัน แม่คนหนึ่งนอนทับลูกของตัวเองตาย จึงไปเอาลูกของแม่อีกคนหนึ่งมาไว้กับตัว แล้วเอาลูกของตัวที่ตายแล้วไปวางไว้แทน พอรุ่งเช้าแม่ทั้งสองก็ทุ่มเถียงแย่งลูกกันเป็นพัลวัน ไม่มีใครตัดสินชี้ขาดได้ว่าลูกใครเป็นลูกใครตาย ร้อนไปถึงกษัตริย์ซาโลมอน พระองค์ทรงตัดสินด้วยพระดำริว่า เมื่อแม่ทั้งสองต่างก็อ้างว่าลูกที่ยังเป็นอยู่เป็นลูกของตัว ก็ให้เอาตัวลูกคนนั้นมาตัดแบ่งเป็นสองท่อนมอบให้แม่ไปคนละท่อน แม่ตัวจริงรักและสงสารลูกก็ร้องว่า “อย่าฆ่าลูกเลย ยกให้เขาไปเถิด” ส่วนแม่ตัวปลอมก็สนับสนุนให้ฆ่าเด็กเสียจะได้ตายไปด้วยกันกับลูกของตัว กษัตริย์ซาโลมอนก็รู้ทันทีว่าใครเป็นแม่จริง ใครเป็นแม่ปลอม จากการแสดงออกของคนทั้งสองนี่เอง พระองค์จึงสั่งให้มอบลูกคนนั้นให้แม่ตัวจริงไป (1พกษ 3:1-28)

 สติปัญญา เป็นพระคุณที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่เชื่อและปฏิบัติ เข้าใจพระคัมภีร์และคำสอนของพระศาสนจักร และสามารถอธิบายให้คนอื่นได้ด้วย เราท่านทั้งหลายที่จะสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในศาสนาคริสต์ก็ต้องอาศัยพระคุณแห่งปัญญานี่แหละ

 ความรู้ เป็นพระคุณที่ทำให้เข้าซึ้งถึงอัตถ์ความจริงในศาสนาคริสต์ เช่น ความจริงเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ความจริงเกี่ยวกับศีลมหาสนิท ฯลฯ ความจริงเหล่านี้เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ธรรมล้ำลึก” หรือข้อลึกลับที่สูงเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่โดยอาศัยพระคุณแห่งความรู้ ก็ทำให้คนบางคนมีความสามารถรู้ถึงความจริงบางส่วนได้ แม้จะเพียงเบาบางก็ตาม เราเรียกคนเหล่านี้ว่า “นักปราชญ์ของพระศาสนจักร”

3. กล่าวโดยรวมก็คือ พระคุณทั้ง 3 ประการของพระจิตนี้ มีฤทธิ์พิเศษสามารถเปลี่ยนความคิดแบบมนุษย์ธรรมดาให้มีความคิดแบบพระเจ้า ซึ่งทรงมองสรรพสิ่งและคิดแตกต่างจากมนุษย์แบบคนละกระแส คนละชั้น ดังเช่นมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ตอนซามูแอลไปสรรหากษัตริย์องค์ใหม่มาแทนกษัตริย์ซาอูลที่ประพฤตินอกพระทัยของพระเป็นเจ้า ซามูแอลมองดูลูกของเจสซีคนแล้วคนเล่า ก็เห็นว่าทุกคนล้วนเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์ด้วยกันทั้งนั้น แต่พระเจ้าตรัสกับซามูแอลว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเป็นเจ้าดูที่จิตใจ” (1ซมอ 16:6-7)

4. เราจึงควรซาบซึ้งในพระคุณของพระจิตทั้ง 3 ประการนี้ ขอบคุณพระจิตที่กรุณาประทานให้ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ไม่เหมาะสม และเอาใจใส่ใช้พระคุณเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองและของผู้อื่นด้วย เพราะ “พระคุณของพระจิตนั้นมีไว้สำหรับทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน” (1คร 12:7) สิ่งที่พึงปฏิบัติก็คือ

ก. ภาวนาวอนขอพระคุณทั้ง 3 ประการจากพระ เข้าใจการตัดสินปัญหาต่างๆ ในชีวิตของเราแต่ละวัน พร้อมกับอุทิศตนศึกษา ค้นคว้าด้วยตัวเองด้วย

ข. ขอบคุณพระจิตทุกวัน เมื่อเกิดความคิดที่ดี เกิดความเข้าใจที่แจ้งชัด และเกิดความดื่มด่ำภายในจิตใจที่ได้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น

ค. แบ่งปันพระคุณทั้ง 3 ประการของพระจิตไปยังผู้อื่น ด้วยการแนะนำ สั่งสอน อบรม และเป็นต้น ด้วยการวางแบบอย่างที่ดี

ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
ก. ข้อควรจำ
1. พระดำริ คือพระคุณที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามแบบอย่างของพระเป็นเจ้า เช่น รู้ว่าพระสำคัญกว่าสิ่งใดๆ จิตใจสำคัญกว่าร่างกาย สิ่งของต่างๆ ในโลกเป็นเพียงเครื่องมือนำไปหาความสุขไม่ใช่เป็นเป้าหมายหรือความสุขเอง

2. สติปัญญา คือพระคุณที่ให้เราเข้าใจพระคัมภีร์ คำสอนของพระศาสนจักร และสามารถอธิบายให้คนอื่นได้ด้วย

3. ความรู้ คือพระคุณที่ทำให้เราเข้าซึ้งถึงธรรมล้ำลึกในศาสนาคริสต์ เช่นธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ ศีลมหาสนิท ฯลฯ

4. เรามีหน้าที่ 3 ประการต่อพระคุณของพระจิต คือ
ก. สวดภาวนาวอนขอจาพระจิต และศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง
ข. ขอบคุณพระจิตทุกวัน
ค. ใช้พระคุณทั้ง 3 ประการเพื่อประโยชน์ของตนเอง และผู้อื่น

ข. กิจกรรม 
เล่นเกม “ตอบทันควัน”
ครูกล่าวข้อความ ถ้าข้อความส่อไปทางคิดเหมือนมนุษย์ ให้ผู้เรียนยกมือซ้ายขึ้น ถ้าข้อความนั้นส่อไปในทางคิดเหมือนพระเยซู ให้ผู้เรียนยกมือขวาขึ้น จะเล่นเป็นกลุ่มหรือเป็นคนก็ได้ ต้องยกมือทันควัน ใครยกผิด ยกช้า ถือว่าแพ้

ตัวอย่างข้อความ   คิดลอกการบ้านเพื่อน              คิดจะไปวัด
                        คิดขโมยของเพื่อน                  คิดเอาขนมไปฝากน้อง
                        คิดสวดภาวนาค่ำ                     คิดช่วยเหลือพ่อแม่
                        คิดเก็บเงินใส่ออมสิน                คิดหนีเรียน
                                      ฯลฯ                             ฯลฯ

 ให้ผู้เรียนแต่งบทภาวนาขอพระคุณ พระดำริ สติปัญญา ความรู้จากพระจิต เสร็จแล้วให้สวดขอจริงๆ สลับกับบทเพลง “เชิญเสด็จ เชิญเสด็จ พระจิตเจ้า / เชิญเสด็จ เชิญเสด็จ พระจิตเจ้า”
 ถ้ามีผู้เรียนหลายคน อาจจะให้อ่านบทภาวนาทีละหลายๆ คน แล้วจึงร้องเพลงสลับครั้งหนึ่ง

ค. การบ้าน 
ประดิษฐ์คำว่า “พระดำริ สติปัญญา ความรู้ ทำให้เราคิดเหมือนพระเยซู” ให้สวยงาม
เอาไปติดไว้ที่หน้าแท่นที่บ้าน