ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCCESE

 ccp021.jpgบทเรียนที่      2 เดือนกรกฎาคม 1995
หัวข้อเรื่อง     ศักดิ์ศรีของสตรี
จุดมุ่งหมาย  
ปลุกจิตสำนึกให้นักเรียนเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของสตรีในสังคมที่ตนอยู่

ขั้นที่ 1 กิจกรรม

- แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ให้ช่วยกันหาข้อแตกต่างระหว่างชายกับหญิงในหัวข้อต่อไปนี้

    รูปร่าง        เสียง          อุปนิสัย        การงาน (อาชีพ)

  ชาย...........................................................................................................................
         ...........................................................................................................................
  หญิง..........................................................................................................................
          ..........................................................................................................................

- แต่ละกลุ่มแบ่งปันหน้าชั้น ครูจดย่อๆ บนกระดานดำ

ขั้นที่ 2 วิเคราะห์

- ครูอธิบายให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น

- ครูถามนักเรียนว่า ทำไมชายและหญิงจึงแตกต่างกัน?
 ชายและหญิงจะมาอยู่ร่วมกันได้หรือไม่?

สรุป ความแตกต่างไม่ใช่ความแตกแยก แตกต่างยังอยู่ด้วยกันได้ดังเช่นนักเรียนทุกคนล้วนแตกต่างกัน แต่ก็มาอยู่ด้วยกันในชั้นเดียวกัน โรงเรียนเดียวกันได้ ส่วนแตกแยกหมายความว่า อยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว เพราะมีความเกลียดชังหรือเป็นศัตรูกัน ชายและหญิงจึงมาอยู่ร่วมกันได้ดังเช่นที่เราเห็นในครอบครัวเมื่อชายและหญิงแต่งงานกัน

ขั้นที่ 3 คำสอน


1. พระคัมภีร์ภาคปฐมกาลได้กล่าวถึงสตรีคนแรกของโลกคือเอวา ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ จะทรงสร้างให้มาคู่กับชายคนแรกคืออาดัม ว่าดังนี้ “พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเป็นเจ้านั้นพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทางสร้างให้เป็นชายและหญิง” (ปฐก 2:27) แสดงว่าทั้งชายและหญิงถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเป็นเจ้าจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน

 พระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “พระเป็นเจ้าตรัสว่า ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น” (ปฐก 3:18) คู่อุปถัมภ์ที่ว่านี้คือหญิงที่ชื่อเอวา หญิงจึงเป็นคู่อุปถัมภ์ของชาย หรือคู่ชีวิตของชาย ไม่ใช่บ่าวทาสหรือข้ารับใช้ของชาย คำว่า “คู่” หมายถึงสิ่งที่มีฐานะเท่าเทียมกัน เช่น กลางวัน-กลางคืน ร้อน-เย็น ฯลฯ

2. สิ่งที่คู่กันมีไว้เพื่อเสริมกันและกันให้สมบูรณ์ เช่น กลางวันเป็นเวลาทำงาน กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน ความร้อนกับความเย็นก็ช่วยทำให้โลกไม่ร้อนเกินหนาวเกินจนอยู่ไม่ได้

 ชายกับหญิงก็เช่นกันพระเป็นเจ้าทรงสร้างให้เป็นคู่ชีวิตเพื่อช่วยเสริมกันและกันให้สมบูรณ์ จากกิจกรรมในขั้นที่ 1 เราได้เห็นความแตกต่างระหว่างชายกับหญิง ถ้าเรานำเอาความแตกต่างนั้นมาเสริมกันและกันก็จะได้ความสมบูรณ์ เช่น ชายนั้นแข็งแรง หญิงนั้นอ่อนโยน เมื่อนำมาเสริมกันเข้าทำให้ความแข็งแรงนั้นไม่แข็งกระด้าง ความอ่อนโยนก็ไม่อ่อนปวกเปียก หรือชายมองอนาคต หญิงมองปัจจุบัน ถ้านำมาเสริมกันเข้าก็ทำให้อนาคตไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันแต่มีปัจจุบันเป็นรากฐาน และปัจจุบันก็ไม่ใช่จมปลักดักดานอยู่กับที่ แต่มีความทะเบอทะบานที่จะก้าวหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

3. เมื่อพระเป็นเจ้าทรงสร้างชายและหญิงให้มาเป็นคู่ชีวิต คือมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันและในเวลาเดียวกันก็ให้มาเสริมกันและกันให้สมบูรณ์ บทบาทหน้าที่ของชายและหญิงจึงมีทั้งที่เหมือนกันและที่แตกต่างกัน

 ที่เหมือนกันก็คือบทบาทหน้าที่ในฐานะที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันได้แก่สิทธิและความเสมอภาคต่างๆ ในปัจจุบันนี้มีการเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคของสตรีอยู่ทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะในทางปฏิบัติหรืแม้กระทั่งในทางทฤษฎีสตรีในหลายแห่งยังถูกจำกัดสิทธิและความเสมอภาคอยู่มาก ไม่เท่าเทียมกับชาย

 ที่ต่างกันนั้นคือ ชายมีบางสิ่งที่หญิงไม่มี และหญิงก็มีบางสิ่งที่ชายไม่มี บทบาทหน้าที่ของชายและหญิงในแง่นี้จึงอยู่ที่ต่างฝ่ายต่างเสริมสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งยังขาด เช่น ชายและหญิงที่แต่งงานกัน ชายก็ทำหน้าที่สร้างอนาคตและความก้าวหน้าให้แก่ครอบครัว ซึ่งได้แก่ตน ภรรยา และลูกๆ เพราะฉะนั้นชายจึงออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนหญิงก็ทำหน้าที่ดูแลบ้านช่อง ลูกๆ คือดูและความเป็นอยู่ในปัจจุบันให้เรียบร้อยเป็นปกติสุข กระแสโลกปัจจุบันทำให้หญิงต้องออกไปทำมาหากินนอกบ้านเหมือนชาย จึงสร้างปัญหาให้ครอบครัวอย่างที่เห็นๆ กัน

 ในลักษณะนี้ชายจึงดูเหมือนเป็นผู้นำ ผู้บุกเบิกหรือกองหน้า ส่วนหญิงเป็นผู้คุมกำลัง เป็นกองหลังคอยสนับสนุน รูปลักษณะเช่นนี้มิได้หมายความว่าชายใหญ่กว่าหญิง แต่บ่งบอกว่าทั้งชายและหญิงมีหน้าที่แตกต่างกันและเสริมสร้างกันและกันโดยมีบทบาทที่แตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของแต่ละฝ่าย การที่จะเรียกร้องให้ชายและหญิงเหมือนกันทุกอย่างจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่พระเป็นเจ้าจะทรงสร้างมนุษย์มาให้เป็นชายและหญิง หรือสร้างหญิงให้มาเป็นคู่อุปถัมภ์ที่สมกับชาย

ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ

1. ข้อควรจดจำ

1.1 “พระเป็นเจ้าตรัสว่า ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น” (ปฐก 3.18) คู่อุปถัมภ์ที่ว่านี้คือหญิงที่ชื่อว่าเอวา หญิงจึงเป็นคู่อุปถัมภ์ของชาย หรือคู่ชีวิตของชาย ไม่ใช่บ่าวทาส หรือข้ารับใช้ของชาย

1.2 “พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเป็นเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นและทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง” (ปฐก 2.17) แสดงว่าทั้งชายและหญิงถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเป็นเจ้าจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน

1.3 พระเป็นเจ้าทรงสร้างชายและหญิงให้มาเป็นคู่ชีวิต คือมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และในเวลาเดียวกันก็ให้มาเสริมกันและกันให้สมบูรณ์ บทบาทหน้าที่ของความเป็นชายและหญิงจึงมีทั้งที่เหมือนกันและที่แตกต่างกัน

2. นักเรียนชายกับนักเรียนหญิงช่วยกันทำหน้าที่ตามลักษณะความแตกต่าง คือ นักเรียนชายแข็งแรง ก็ให้ทำหน้าที่ที่ต้องใช้กำลัง เช่น ยก แบกหาม ฯลฯ ส่วนนักเรียนหญิงอ่อนโยนก็ให้ทำหน้าที่ที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน เช่น เช็ด ถู เย็บปักถักร้อย ตกแต่ง ฯลฯ

เนื้อหาและบทเรียน

Download พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กและเยาวชน

Download พิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์