บทเรียนที่ 2  เดือนกรกฎาคม 1997

หัวข้อเรื่อง    พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุตรมนุษย์

จุดมุ่งหมาย  เพื่อให้ผู้เรียนศึกษา ติดตามชีวิตของพระเยซูคริสต์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เหมือนเราทั้งหลาย และพยายามนำมาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต

ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ครูเขียนเนื้อเพลง “ชีวิตตัวอย่าง” (หนังสือปรารถนา หน้า 71) เป็นท่อนๆ ลงในแผ่นกระดาษ
แผ่นละ 1 ท่อน  เช่น

ชีวิตจนจนของชายคนหนึ่ง  ที่ฉันรู้จักมามีชื่อนามว่าเยซู
  ฯลฯ         ฯลฯ

จนครบทั้ง 3 ข้อ เอากระดาษแต่ละข้อมารวมกัน คละเคล้าให้ปะปนกันแล้วในใส่ซองแยกไว้
แบ่งผู้เรียนออกเป็น 3 กลุ่ม แจกซองที่ใส่กระดาษเตรียมไว้ให้กลุ่มละ 1 ซอง
เมื่อให้สัญญาณ ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันนำท่อนเนื้อเพลงในซองมาเรียงต่อกันให้ถูกต้อง
ตามความเป็นจริง
ให้เวลาประมาณ 5 นาที กลุ่มไหนเรียงเสร็จก่อนและถูกต้อง เป็นฝ่ายชนะ

ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
ครูเฉลยเนื้อเพลง (ดูตามที่แนบมาข้างท้าย)
ให้ผู้เรียนร้องเพลง “ชีวิตตัวอย่าง” นี้พร้อมๆ กัน
ครูอธิบายหรือให้ผู้เรียนช่วยกันอธิบายความหมายของเนื้อเพลงนี้ เฉพาะในข้อ 1 และข้อ 2

สรุป        พระเยซูคริสต์ทรงถ่อมองค์ลงมารับสภาพมนุษย์ที่อ่อนแอเหมือนเราทุกอย่าง
              เว้นแต่บาป พระองค์จึงทรงเป็นมนุษย์แท้

ขั้นที่ 3 คำสอน
 1.พระเยซูคริสต์ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์จริง จากคำยืนยันของพระวรสารทั้งสี่ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นตามแนวประวัติศาสตร์เพื่อเล่าถึงชีวประวัติและผลงานของบุคคลคนหนึ่งที่ชื่อว่า “เยซูคริสต์” นอกจากนั้นยังมีหลักฐานบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์โบราณที่เป็นคนต่างชาติด้วย เช่น ตาซีตัส (ค.ศ. 54-119) เขียนว่า “ชาวคริสต์เหล่านี้ได้ชื่อมาจากคนคนหนึ่งที่ ชื่อ คริสตุส ซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิตโดย ปอนทิอัส ปิลาต” และ พลีนีอัส (ค.ศ. 62-113) เขียนจดหมายถึงจักรพรรดิตราจาน เล่าว่า “ชาวคริสต์เหล่านี้ร้องเพลงสรรเสริญครคนหนึ่งที่ชื่อ คริสตุส” โดยนับถือว่าเป็นพระเจ้า”

 2.พระเยซูคริสต์ผู้นี้ประสูติที่เมืองเบธเลเฮ็ม แคว้นยูเดียประเทศปาเลสไตน์ ในราว 4 ปีก่อน ค.ศ. ปัจจุบัน (เกิดจากการคำนวณผิดพลาด ทำให้ปี ค.ศ. นี้เริ่มช้ากว่าวันประสูติจริงของพระเยซูคริสต์ไป 4 ปี) พระองค์ทรงเจริญวัยและใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่แคว้นกาลิลี ทางเหนือของประเทศปาเลสไตน์ โดยพำนักอยู่ที่เมืองนาซาแร็ธ บิดาในสายตาของคนทั่วไปคือโยเซฟ ช่างไม้ และมารดาคือมารีอา มีพี่น้อง (ลูกพี่ลูกน้อง) คือ ยากอบ โยเซฟ ซีมอน และยูดาส (ธัดเดอัส) ทรงรู้พระคัมภีร์ดี จากคำสอนและคำอ้างอิงของพระองค์ ภาษที่พระองค์ทรงใช้ก็คือ ภาษาอาราเมค (ภษาพื้นเมืองของแคว้นกาลิลี) พระองค์น่าจะรู้ภาษากรีกด้วย เพราะเป็นภาษที่ใช้แพร่หลายในอาณาจักรโรมันตะวันออกเมื่ออายุได้ 30 ปีก็ออกเทศนา เริ่มด้วยการรับพิธีล้างจากนักบุญยอห์นบัปติสต์ที่แม่น้ำจอร์แดน เข้าไปจำศีลภาวนาในถิ่นทุรกันดาร หลังจากนั้นก็ออกเทศนาแถบทะเลสาบกาลิลีเป็นส่วนใหญ่ เสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อฉลองปัสกาเป็นประจำทุกปี และมักจะไปพักอยู่กับสามพี่น้องที่คุ้นเคยใกล้ชิดที่หมู่บ้านเบธานีอยู่บ่อยๆ คือบ้านของลาซารัส มาร์ธา และมารี ที่กรุงเยรูซาเล็มนี้เอง ในราวปี ค.ศ. 29 ซึ่งเป็นปีที่สามของการเทศนาของพระอ'ค์ ก็ทรงถูกจับ ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยตรึงกางเขนจาก ปอนทิอัส ปิลาต ในข้อหาเป็นกบฏต่อจักรพรรดิโรมัน จนสิ้นพระชนม์เมื่ออายุได้ 33 ปี วันนั้นเป็นวันศุกร์ก่อนวันสะบาโต ฉลองปัสกาเช้าตรู่วันที่สาม คือ วันอาทิตย์ พระองค์ก็เสร็จกลับคืนพระชนม์ และทรงปรากฏองค์แก่บรรดาสตรีและพวกอัครสาวกหลายครั้ง จนกระทั่ง 40 วันหลังจากนั้นก็เสด็จขึ้นสวรรค์

 3.พระเยซูคริสต์ทรงเรียกขานพระองค์เป็น “บุตรมนุษย์” อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในพระวรสารโดยนักบุญมาระโกหมายความว่า พระองค์ทรงยืยนยันความเป็นมนุษย์แท้ของพระองค์ ไม่ใช่พระเจ้าแปลงร่างลงมา คือ ทรงมีร่างกายเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย และทรงมีลักษณะเหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป คือพระองค์ต้องมีร่างกายแข็งแรงมาก จะเห็นได้จากการเดินทางไม่หยุดหย่อน การตรากตรำงานหนัก จนไม่มีเวลารับประทานอาหาร ตกกลางคืนแทนที่จะได้พักผ่อนกลับเสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพระองค์ทรงเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ประการใดพระองค์ทรงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย จนบรรทมหลับอยู่ท้ายเรือ และไม่รู้สึกถึงพายุและคลื่นลมที่ซัดกระหน่ำจนเรือจวนเจียนจะล่ม พวกสาวกต้องไปปลุกพระองค์พระองค์ทรงรู้สึกหิว จึงเสด็จไปที่ต้นมะเดื่อริมทางหมายจะเก็บผลมารับประทานแต่ไม่พบ
พระองค์ทรงรู้สึกระหายจึงเอ่ยปากขอน้ำดื่มจากหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำพระองค์ทรงรู้สึกสงสารประชาชน คนเจ็บคนป่วย คนผีสิง คนพิการ จึงทรงกระทำอัศจรรย์รักษาพวกเขาพระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนใจในความทุกข์ยากของผู้คน จนถึงกับทรงร้องไห้กับคนที่ร้องไห้พระองค์ทรงรู้สึกดีใจ ต้อรับเด็กๆ ที่เข้ามารุมล้อมพระองค์ หัวเราะหยอกล้อกับเด็กๆ สวมกอดเด้กๆ และอวยพรให้ ทรงปล้มปิติกับพวกสาวกที่กลับจากออกไปเทศนาพร้อมกับความสำเร็จ “แม้แต่ปีศาจก็ยอมสยบเพราะพระนามของพระองค์.....จงยินดีเถิด เพราะชื่อของท่านได้จารึกไว้ในสวรรค์แล้ว” (ลก 10:17 และ 20)พระองค์รู้สึกกลัว ต่อหน้ามหาทรมานที่กำลังคืนใกล้เข้ามาพระองค์ทรงภาวนาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงว่า “ข้าแต่พระบิดาหากเป็นไปได้ ขอให้กาลิกส์ (การทรมาน) นี้พ้นไปจากข้าพเจ้เถิด” (ลก 22:42)พระองค์ทรงรู้สึกเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่เกิดจากการถูกเฆี่ยนถูกมงกุฎหนามทิ่มแทง ถูกตรึงบนไม้กางเขนและที่สุด พระองค์สิ้นพระชนม์เหมือนมนุษย์ทุกคน มิได้ทรงถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับพระองค์แต่อย่างใด

 4.ทำไมพระเยซูคริสต์จึงต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อไถ่มนุษย์? ทั้งๆ ที่เพียงแค่ทรงถ่อมองค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์พระบารมีก็เกินพอสำหรับลบล้างบาปของมนุษย์เป็นพันๆ โลก คำตอบก็คือ “พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด” (ยน 13:1) หมายความว่า ความรักของพระเป็นเจ้ามิใช่ยุติตรงคำว่า “พอ” แต่เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นองค์ความรัก ความรักของพระองคืจึงไม่มีขอบเขต เมื่อทรงรักแล้วก็รักจนถึงที่สุด ทรมอบพระองค์ให้เป็นสินไถ่จนโลหิตหยดสุดท้าย จนหมดชีวิตจิตใจ นี่คือพระเป็นเจ้าของเราเมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว “ข้าพเจ้าจะตอบแทนพระเจ้า เพราะพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้านี้ได้อย่างไร?” (สดด 116:13) ในคำภาวนา “บทแสดงความรัก” เราสวดว่า “ข้าพเจ้ารักพระองค์สุดดวงใจยิ่งกว่าสิ่งทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงเป็นความดีงามและทรงน่ารักหาที่สุดมิได้” นั่นคือคำตอบ เมื่อพระองค์ทรงรักเราอย่างสุดๆ ทั้งๆ ที่รักเราอย่างพอประมาณก็ได้ เราก็ควรจะรักพระองค์อย่างสุดดวงใจ อย่างที่เราสวดภาวนานั่นแหละ ไม่ใช่รักเพียงครึ่งๆ กลางๆ“ถ้าเรารักพระเป็นเจ้า ก็จงประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (1ยน 5:3) นั่นก็คือ บัญญัติแห่งความรัก ซึ่งเป็นบัญญัติสูงสุดที่พระองคืประกาศ (มธ 22:37-39) หรือ “ทำตามน้ำพระทัยพระบิดา” อย่างที่พระองค์ทรงกระทำเป็นนิจศีล (มธ 6:38)

ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
ก.ข้อควรจำ
 1. พระเยซูคริสต์ทรงถ่อองค์ลงมารับสภาพเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกอย่าง เว้นแต่บาป
 2. พระเยซูคริสต์ทรงเป็น “บุตรมนุษย์” หมายความว่า พระองค์ทรงเป็นมนุษย์แท้
 3. พระองค์ทรงร่วมชะตาชีวิตกับเรามนุษย์ในทุกรูปแบบ แม้กระทั่งการทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะรักเรามนุษย์อย่างสุดพระทัย
 4. ใครเล่าจะไม่รักตอบพระองค์ผู้ทรงรักเราถึงเพียงนี้ เรารักตอบพระเจ้าโดยประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ หรือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
ข.กิจกรรม
นำผู้เรียนสู่กิจกรรม “รำพึงภาวนากับพระเยซูคริสต์” โดยอาศัยภาพพระเยซูคริสต์ในอิริยาบถต่างๆ
เช่น ทรงเหน็ดเหนื่อยบรรทมหลับในเรือ
      ทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรีย
      ทรงทวีขนมปังเลี้ยงประชาชน
      ทรงปลุกลาซารัสให้กลับคืนชีพ ฯลฯ

วิธีดำเนินการ
ติดภาพ “พระเยซูทรงบังเกิด”  ให้ผู้เรียนเพ่งสายตา ความคิด จิตใจ ไปสู่ภาพนั้น
รำพึงเงียบๆ สักครู่ แล้วภาวนาสั้นๆ ตามความรู้สึก
ติดภาพ “พระเยซูทรงเหน็ดเหนื่อย” ให้ผู้เรียนปฏิบัติเช่นเดียวกัน
ติดภาพ “พระเยซูทรงต้อนรับเด็ก” ให้ผู้เรียนปฏิบัติเช่นเดียวกัน
ติดภาพ “พระเยซูทรงภาวนาในสวนมะกอก” ให้ผู้เรียนปฏิบัติเช่นเดียวกัน
  ฯลฯ     ฯลฯ
หมายเหตุ ถ้าไม่มีภาพ จะใช้จินตนาการ โดยครูเป็นผู้พูดสร้างภาพให้ผู้เรียนติดตาม
              รำพึงและภาวนาก็ได้ เสร็จแล้วร้องเพลง “ชีวิตตัวอย่าง” อีกครั้งหนึ่งพร้อมกัน
ค.การบ้าน
ให้ผู้เรียนนำแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ที่เป็นมนุษย์แท้ไปปฏิบัติ เช่น เหนื่อยก็ไม่บ่น
หิวกำม่พาล กระหายก็ไม่ว่า ลำบากก็ไม่ท้อแท้ สงสารคนที่มีความยากลำบาก ดีใจกับคนที่ดีใจ ฯลฯ

    ชีวิตตัวอย่าง
 1.ชีวิตจนจนของชายคนหนึ่ง  ที่ฉันรู้จักมามีชื่อนามว่าเยซู
บังเกิดยากจนอย่างน่าอดสู   ในถ้ำพิงพักของชุมพาบาล
ทรมานหนาวเย็นเยือกกาย   ครอบครัวยากไร้เหลือทน
 2.ชีวิตเยาว์วัยพ้นกาลเลยผ่าน   จึงถึงวันจากลาไปสู่งานที่มอบหมาย
ไปเทศนาเยี่ยมเยียนสั่งสอน   ปวงประชากรถึงพระราชัย
เยียวยารักษาใจกาย    หทัยประเสริฐแสนงาม
        *** แต่อนิจจาความดีที่เพียรสรรค์สร้าง
  บางคนไม่เห็นคุณค่ากลับเพิ่มอิจฉาระราน
  ปรับโทษประหารเยี่ยงผู้ผิดร้ายคดีอาญา
  กางเขนแท้คือราคาไถ่โทษมนุษย์ทั้งมวล
 3.ชีวิตคนดีเหมือนกระจกส่อง  ให้ฉันรู้จักมองจองเลือกทางเดินเที่ยงแท้
ยอมเป็นผู้แพ้ใครจะรังแก   ฉันไม่แยแสขอเดินทางธรรม
เดินตามพระองค์แน่ใจ   ไปสู่ชีวิตนิรันดร์