บทที่ 6
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพี่ชายที่รักน้อง
จุดมุ่งหมาย เพื่อให้นักเรียนรักและวางใจในพระเยซูคริสต์
และพยายามสร้างความสนิทสนมกับพระองค์เยี่ยงน้องชายกับพี่ชาย
ขั้นที่ 1 กิจกรรม
ครูเล่านิทานต่อไปนี้ให้นักเรียนฟัง
“มีเด็กสองคน คนพี่เป็นชาย คนน้องเป็นหญิงกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก ๆ พ่อจึงรักมาก ต่อมา เพราะความจำเป็นพ่อต้องแต่งงานใหม่ แม่คนใหม่ใจร้ายไม่รักลูกเลี้ยงทั้งสองคนเลยพยายามหาทางกลั่นแกล้งและกำจัดไปให้พ้นหูพ้นตาอยู่เสมอ คืนวันหนึ่ง แม่เลี้ยงพูดกับพ่อว่า “เลี้ยงเด็กสองคนไว้ทำไม เปลืองข้าวสุก สู้เอาไปปล่อยป่าเสียจะดีกว่า” พ่อเกรงใจก็ยอมตาม เผอิญพี่ชายแอบได้ยินเข้าก็คิดหาวิธีแก้ไข แอบเปิดประตูออกไปเก็บก้อนหินไว้เต็มกระเป๋า พอรุ่งเช้า แม่เลี้ยงก็ชวนลูกทั้งสอนไปเที่ยวป่า บอกว่าจะไปเก็บของป่ามาขาย แม่เลี้ยงแจกขนมปังให้ลูกคนละก้อนแล้วออกเดินทาง พอถึงป่าลึกแม่เลี้ยงก็แกล้งบอกลูกว่า “พ่อและแม่จะไปเก็บทางป่าทางโน้น ลูกคอยอยู่ที่นี่นะ ตอนบ่าย ๆ จะกลับมารับ” แล้วนางก็พาพ่อหนีกลับบ้าน เด็กทั้งสองคอยพ่อแม่จนเย็นจวนจะค่ำแล้วก็ยังไม่เห็นกลับมา น้องสาวเริ่มร้องไห้ เพราะความกลัว พี่ชายก็ปลอบบอกว่า “ไม่ต้องกลัว พี่จะพาน้องกลับบ้านเอง” น้องสาวก็ถามว่า “พี่จำทางได้หรือ?” พี่ชายก็ตอบว่า “ได้ซี เพราะพี่แอบเอาก้อนหินทิ้งไว้ตลอดทางเมื่อตอนขามา” ว่าแล้วพี่ชายก็พาน้องสาวลัดเลาะตามรอยก้อนหินกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
แม่เลี้ยงเจ็บใจมาก คนต่อมาก็วอนขอพ่อให้พาเด็กไปปล่อยป่าอีก พ่อเกรงใจก็ยอมตาม พี่ชายแอบได้ยินเช่นเคยจึงย่องไปจะเปิดประตูออกไปเก็บก้อนหินอีก แต่โชคร้าย ประตูถูกลงกลอนลั่นกุญแจแน่นหนา พี่ชายไม่รู้จะทำอย่างไร พอรุ่งเช้าแม่เลี้ยงก็พาลูกทั้งสองไปป่าอีก และแจกขนมปังให้คนละก้อนเหมือนเดิม คราวนี้นางเข้าไปในป่าลึก ทิ้งลูกไว้ แล้วก็หนีกลับบ้านกับพ่อ ลูกทั้งสองคอยจนเย็น น้องสาวเริ่มร้องไห้ เพราความกลัว พี่ชายก็ปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว พี่จะพากลับบ้านเหมือนคราวก่อน” น้องสาวถามว่า “พี่จำทางได้หรือ?” พี่ชายก็ตอบว่า “ได้ซี เพราะพี่แอบบิขนมปังโรยมาตลอดทางเมื่อตอนขามา” ว่าแล้วก็จูงมือน้องสาวจะพากลับบ้าน แต่อนิจจา เขาไม่พบเศษขนมปังหลงเหลืออยู่เลยเพราะนกกาพากันมาจิกกันไปหมดแล้ว ทั้งสองจึงหลงทางอยู่ในป่าลึกจนค่ำมืดลงเสียงสัตว์ป่าเริ่มร้องคำรามและออกหากิน น้องสาวกลัวมากจึงร้องไห้ใหญ่ พี่ชายต้องคอยปลอบอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเห็นแสงไฟริบหรี่อยู่แต่ไกล ทั้งสองจึงใจชื้นรีบตรงไปยังแสงไฟนั้นเห็นกระท่อมประหลาดหลังหนึ่ง หลังคามุงด้วยข้าวเกรียบ ฝาทำด้วยขนมปังเวเฟอร์ ประตูทำด้วยช็อคโกแลต ทั้งสองกำลังหิวจึงตรงเข้าดึงฝากระท่อมมาใช่ปากกิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกจากกระท่อมว่า “ใครบังอาจมารื้อบ้านของข้า?” สิ้นเสียงประตูก็เปิดออก ใบหน้าของหญิงชราน่าเกลียดคนหนึ่งโผล่ออกมา เด็ดทั้งสองเห็นเข้าก็ตกใจแทบสิ้นสติ หญิงชราคือแม่มด พอเห็นเด็กทั้งสองก็เลิกโกรธ แอบแลบลิ้นปากฝันถึงอาหารอันโอชะทันที แกล้งทำเป็นใจดีถามว่า “หนูไปยังไงมายังไงจึงมาถึงที่นี้ได้? ” “เราทั้งสองหลงทางมาครับ” พี่ชายตอบ “อยากจะขออาศัยค้างคนสักคืนหนึ่งได้ไหมยาย? ” “ได้ซีหลาน สักกี่คืนก็ได้” แม่มดหว่านล้อม “มาเถอะ มาพักกับยายให้สบาย” แม่มดพาเด็กทั้งสองเข้าไปพักในกระท่อม เลี้องดูปูเสี่ออย่างดี จนเด็กทั้งสองลืมบ้านเดิมของตนไปชั่วขณะ วันเวลาผ่านไป แม่มดเห็นว่าเด็กทั้งสองอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีแล้วก็วางแผนจะฆ่า นำมาปรุงอาหาร จึงแกล้งพูดว่า “วันนี้เรามาเลี้ยงฉลองกันสักหน่อยเป็นการรับขวัญหลานทั้งสอง” แล้วแม่มดก็จัดแจงให้เด็กทั้งสองช่วยกันก่อเตาตั้งกระทะใบใหญ่ต้มน้ำจนเดือด เสร็จแล้วก็แกล้งบอกกับเด็กชายว่า “ไหนลองปีนขึ้นไปดูซิว่าน้ำในกระทะเดือดแล้วหรือยัง?” พลางคิดในใจว่า พอเด็กปีนขึ้นไปก็จะฉวยโอกาสผลักให้ตกลงไหในกระทะทันที แต่เด็กชายรู้สึกสังหรณ์ใจจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องพูดว่า “กระทะสูง ผมชะโงกไม่ถึงครับยาย” “เด็กโง่” แม่มดบอก “ก็เอาลังไม้มาต่อแล้วขึ้นไปยืนข้างบนซิ” “ไหนยายลองทำให้ดูทีซิ” เด็กชายบอก แม่มดพลอยเชื่อจึงเอาลังไม้มาต่อแล้วปีนขึ้นไปยืนข้างบนชะโงกหน้าลงไปที่กระทะพลางพูดว่า “ทำอย่างนี้ ๆ” เด็กชายเห็นได้ทีเลยผลักก้นของแม่มดตกลงไปในกะทะน้ำเดือดตาย
พี่ชายจึงเก็บข้าวของเงินทองของแม่มดใส่ห่อจูงมือน้องสาวเดินลัดเลาะจนกระทั่งถึงบ้านได้ พ่อแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อเห็นลูกทั้งสองกลับบ้านได้ จึงตรงเข้าสวมกอดลูกแล้วกล่าวว่า “พ่อเฉดหัวแม่เลี้ยงออกจากบ้านไปแล้ว ต่อไปนี้พ่อจะดูแลลูกไม่ให้ต้องลำบากอีก”
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์
ครูถามความรู้สึกของนักเรียนว่า
ใครเป็นตัวร้ายที่นักเรียนเกลียดมากที่สุด ? ทำม ?
ใครเป็นตัวเอกที่นักเรียนรักมากที่สุด ? ทำไม ?
สรุป พี่ชายในท้องเรื่องนี้เป็นพระเอก รักน้องและเสียสละเพื่อช่วยน้องทุกอย่าง ที่น้องรอดกลับบ้านได้ก็เพราะพี่ชายคนนี้เอง น่าภูมิใจสำหรับน้องคนที่มีพี่ชายที่ดีเช่นนี้
ขั้นที่ 3 คำสอน
1. ในครอบครัวของเราคริสตชนก็มีพี่ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดเรา รักและคอยช่วยเหลือเราอยู่เสมอ เราสนิทกับพี่ชายคนนี้มากยิ่งกว่าใคร ๆ พี่ชายรักเรา เรารักพี่ชาย พี่ชายมีอะไรก็แบ่งให้เรา เรามีอะไรก็แบ่งให้พี่ชาย ช่างมีความสุขนี่กระไร
2. ในครอบครัวของพระเจ้า มีพระเป็นเจ้าทรงเป็นบิดา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพี่ชาย พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพี่ชายที่ใจดี รักเราที่เป็นน้องมา พระองค์รักน้องที่ยังเล็ก ๆ เป็นเด็กเป็นพิเศษ มีเล่าในพระวรสารว่า “วันหนึ่งมีเด็ก ๆ พากันมาหาพระเยซูคริสต์ขณะที่พระองค์กำลังพักผ่อนอยู่ พวกสาวกเห็นเข้าก็ห้ามไม่ให้มารบกวนพระองค์และไล่ให้ไปเล่นที่อื่น แต่พระเยซูคริสต์กลับดุพวกสาวกว่า “ปล่อยเด็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเขาเลย เพราะเมืองสวรรค์เป็นของเด็ก ๆ อย่างนี้แหละ” แล้วพระองค์ก็ทรงสวมกอดเด็ก ๆ เอามือวางบนศีรษะและอวยพรให้” (มก.10,13-16)
3. เราจึงควรรักและเข้าหาพระเยซูคริสต์พี่ชายของเราด้วยความยินดีเสมอ อยู่ใกล้พระองค์เรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย อยู่ไกลพระองค์ เราจะรู้สึกหวาดกลัวและตกอยู่ในอันตรายได้ง่าย ๆ เราอยู่ใกล้พระเยซูคริสต์เมื่อเราไปวัด ร่วมมิสซา เมื่อเราสวดภาวนาเฝ้าศีล และเมื่อเรารู้จักไหว้ ทักทายเมื่อเห็นรูปของพระองค์ที่วัดหรือที่บ้าน ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราอย่าทำอะไรให้พระองค์เสียใจ
4. เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพี่ชายที่รักน้อง ซึ่งได้แก่เราทุกคน เราก็ต้องรักกันและกันด้วย เพราะเราทุกคนต่างก็เป็นน้องของพี่ชายคนเดียวกัน คือ พระเยซูคริสต์ เราจึงเป็นพี่น้องกัน พระเยซูคริสต์ทรงรักพี่น้องของเราที่บ้าน พระเยซูคริสต์ทรงรักเพื่อน ๆ ของเราเหมือนที่พระองค์ทรงรักเราแต่ละคนนั้นแหละ ถ้าเราทะเลาะกับพี่น้อง รักแกเพื่อน ๆ เราก็ทำให้พระเยซูคริสต์พี่ชายของเราเสียใจมาก
ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ
ก. จดเนื้อหาลงในสมุด
1. พระเยซูคริสต์เป็นใคร ?
ตอบ พระเยซูคริสต์เป็นบุตรหัวปีของพระเป็นเจ้า และเป็นพี่ชายของเราทั้งหลาย
2. พระเยซูคริสต์ดีต่อเราอย่างไร ?
ตอบ พระเยซูคริสต์ทรงรักเราเหมือนน้อง คอยช่วยเหลือและคุ้มภัยให้เราเสมอ
3. เราควรปฏิบัติต่อพระเยซูคริสต์อย่างไร ?
ตอบ เราควรทำตนเป็นน้องที่ดี เชื่อฟังพระองค์เสมอ รักกันและกัน และละเว้นสิ่งที่ทำให้พระองค์เสียใจ
ข. กิจกรรม
1. ตั้งรูปพระเยซูคริสต์หน้าชั้น มีธูป เทียน ดอกไม้ ประดับพอสมควร
2. ให้นักเรียนเข้าแถวต่อหน้ารูปพระเยซูคริสต์
- ร้องเพลง “ถวายใจ” (ปรารถนา หน้า 94 บี)