
วันอาทิตย์นี้ฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
ขอพระวาจาพระเจ้านำเราให้ทำตามบทบาทหน้าที่ของแต่ละคนอย่างดี
️
หน้าที่ของพ่อแม่/สามีและภรรยา
ท่านจะต้องรักพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดกำลังของท่าน ท่านจะต้องพร่ำสอนบรรดาบุตรของท่าน ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ทั้งเวลานั่งอยู่ในบ้าน และเดินตามถนน ทั้งเวลาไปนอนและตื่นนอน (ฉธบ. 6:5, 7)
เราจะไม่ปิดบังลูกหลานของเขา แต่จะบอกเล่าแก่ชนรุ่นหลังที่กำลังจะมา บอกเล่าถึงกิจการน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์และพระอานุภาพของพระองค์ รวมทั้งการมหัศจรรย์ที่ทรงกระทำ (สดด. 78:4)
บิดาเมตตาสงสารบุตรของตนฉันใด พระยาห์เวห์ก็ทรงเมตตาสงสารผู้ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น (สดด. 103:13)
จงฝึกเยาวชนในทางที่เขาควรจะเดิน เมื่อเขาชราแล้ว เขาจะไม่หันเหไปจากทางนั้น (สภษ. 22:6)
อย่าละเลยที่จะตีสอนเยาวชน แม้ท่านจะใช้ไม้เรียวตีเขา เขาก็จะไม่ตาย (สภษ. 23:13)
จงแก้ไขความประพฤติของบุตรของท่าน แล้วเขาจะทำให้ท่านสบายใจ เขาจะทำให้ท่านมีความยินดี (สภษ. 29:17)
ถ้าท่านมีบุตร ก็จงอบรมสั่งสอนเขาให้ดี จงสอนให้เขาอ่อนน้อมเชื่อฟังeตั้งแต่วัยเยาว์ (บสร. 7:23)
ถ้าท่านมีบุตรหญิง จงดูแลร่างกายของเขา แต่อย่าตามใจจนเขาลืมตัว (บสร. 7:24)
จงยอมอยู่ใต้อำนาจของกันและกันด้วยความเคารพยำเกรงพระคริสตเจ้า (อฟ. 5:21)
สามีก็จงรักภรรยาดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร และทรงพลีพระองค์เพื่อพระศาสนจักร (อฟ. 5:25)
ดังนั้น แต่ละท่านจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง และภรรยาก็จงเคารพยำเกรงสามี (อฟ. 5:33)
บิดา อย่าย้ำสอนจนบุตรขุ่นเคือง แต่จงอบรมสั่งสอนและตักเตือนเขาตามหลักธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้า (อฟ. 6:4)
ภรรยา จงอยู่ใต้อำนาจของสามีตามสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า (คส. 3:18)
สามี จงรักภรรยาและอย่าทำให้นางรู้สึกขมขื่น (คส. 3:19)
บิดา ก็จงอย่าขัดใจบุตรเกินไป จนเขาท้อแท้หมดกำลังใจ (คส. 3:21)
ถ้าหญิงม่ายคนใดมีบุตรหลาน ก็ให้บรรดาบุตรหลานเหล่านั้นเรียนรู้หน้าที่ต่อครอบครัวเสียก่อน และทดแทนบุญคุณบิดามารดาของตน เพราะนี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย (1ทธ. 5:4)
ถ้าผู้ใดไม่เอาใจใส่ดูแลญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน ก็เท่ากับว่าได้ปฏิเสธความเชื่อ และเลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก (1ทธ. 5:8)
ท่านจะต้องเป็นแบบอย่างในกิจการที่ดี เมื่อสอนก็จงสอนด้วยความจริงใจและจริงจัง (ทต. 2:7)
เราจงพิจารณาหาทางปลุกใจกันและกันให้มีความรักและประกอบกิจการดี (ฮบ. 10:24)
สามีต้องร่วมชีวิตกับภรรยา โดยคำนึงว่าสตรีเป็นเพศที่อ่อนแอ กว่า จงให้เกียรติภรรยาในฐานะที่เธอร่วมเป็นทายาทรับชีวิตเป็นของประทานจากพระเจ้า ดังนี้ จะไม่มีอุปสรรคใดขัดขวางมิให้ท่านร่วมกันอธิษฐานภาวนา (1ปต. 3:7)
หน้าที่ของลูก
จงนับถือบิดามารดา เพื่อท่านจะได้มีอายุยืนอยู่ในแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่าน (อพย. 20:12)
ลูกเอ๋ย จงฟังคำตักเตือนของพ่อ อย่าดูหมิ่นคำสั่งสอนจากแม่ของลูก เพราะคำสอนเหล่านี้เป็นเหมือนมงกุฎประดับศีรษะ เป็นสร้อยประดับคอของลูก (สภษ. 1:8-9)
ลูกเอ๋ย จงรักษาบทบัญญัติของพ่อ อย่าดูหมิ่นคำสั่งสอนจากแม่ของลูก (สภษ. 6:20)
จงฟังพ่อที่ให้กำเนิดลูก อย่าดูหมิ่นแม่ของลูกเมื่อแม่แก่ชรา (สภษ. 23:22)
เมื่อลูกได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว จงยำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน (ปญจ. 12:13)
บุตรที่ยำเกรงบิดาก็ชดเชยบาปของตน บุตรที่ให้เกียรติมารดาก็เหมือนกับสะสมทรัพย์สมบัติไว้ (บสร. 3:3-4)
บุตรที่ให้เกียรติบิดาจะมีอายุยืน บุตรที่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า จะทำให้มารดาชื่นใจ (บสร. 3:6)
จงให้เกียรติบิดาด้วยกิจการและวาจา เพื่อพรจากบิดาจะได้ลงมาเหนือท่าน (บสร. 3:8)
ลูกเอ๋ย จงดูแลบิดาของท่านในวัยชรา อย่าให้เขาเศร้าโศกในชีวิต แม้สติปัญญาของบิดาจะเสื่อมลง ก็จงสงสารเขา อย่าดูหมิ่นเขาขณะที่ท่านยังแข็งแรงอยู่ (บสร. 3:12-13)
พระเจ้าจะไม่ทรงลืมความเมตตาของท่านต่อบิดา พระองค์จะทรงนับว่าความเมตตานั้นเป็นการใช้โทษบาปของท่าน (บสร. 3:14)
จงนับถือบิดาอย่างสุดใจ จงอย่าลืมว่ามารดาให้กำเนิดท่านด้วยความเจ็บปวด (บสร. 7:27)
จงระลึกว่าท่านทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิด จะมีสิ่งใดมาตอบแทนบุญคุณนี้ได้ (บสร. 7:28)
จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง (มธ. 19:19)
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสอง (ลก. 2:51)
บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะการกระทำเช่นนี้ถูกต้อง (อฟ. 6:1)
พระบัญญัติที่ว่า จงให้เกียรติบิดามารดา เป็นพระบัญญัติแรกซึ่งมีพระสัญญาควบคู่อยู่ด้วยว่า “แล้วท่านจะอยู่บนแผ่นดินอย่างเป็นสุข และมีอายุยืน” (อฟ. 6:2-3)
บุตร จงเชื่อฟังบิดามารดาในทุกสิ่ง เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า (คส. 3:20)
