การอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเองตามลำพัง ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
1. การสวดอธิฐานของพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับเหนือเรา
ทุกครั้งก่อนเปิดพระคัมภีร์ออกมาอ่าน ขอให้เราสวดอธิฐานขอให้พระจิตเจ้าเสด็จลงประทับเหนือเรา เพื่อเราจะได้มีสติปัญญา ความฉลาด ความรู้ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของพระเป็นเจ้าที่จะนำพระวาจานั้นไปใช้อย่างถูกต้อง ตามพระประสงค์ของพระองค์
ไม่ควรเปิดพระคัมภีร์ออกมาอ่านทันที ก่อนที่จะสวดขอพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับเหนือเรา
2.การอ่านพระคัมภีร์
การอ่านพระคัมภีร์ต้องอ่านอย่างช้าๆ ไม่ใช่อ่านอย่างหนังสือธรรมดา ไม่ใช่รีบๆอ่านเพื่อให้จบ แต่ควรจะค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ อ่านไป..รำพึงไป.. และถ้าเป็นไปได้ ขณะที่อ่านให้นึกเห็นภาพของพระเยซูเจ้ากำลังประทับยืนอยู่ข้างหน้าเรา พระองค์กำลังสั่งสอนเราด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์กำลังจ้องพระเนตร(ตา) มาที่เราด้วยสายตาของรัก ความห่วงใย ความปรารถนาดีที่จะให้เราได้กลับใจเป็นคนดี เพื่อจะได้มีชีวิตนิรันดรร่วมกับพระองค์
การอ่านพระคัมภีร์ไม่ควรอ่านทีเดียวให้จบเล่น แต่ควรอ่านทีละบท หรือทีละตอน จะเป็นตอนยาว หรือตอนสั้นก็ได้สุดแต่จะศรัทธา แต่ที่แนะนำให้อ่านวันละบทก็เพราะในพระวรสารทั้งสี่นั้นมีอยู่รวมทั้งสิ้น 89 บท เป็นของ
นักบัญมัทธิว 28 บท
นักบุญมาระโก 16 บท
นักบุญลูกา 24 บท
นักบุญยอห์น 21 บท
รวม 89 บท
ดังนั้น ถ้าอ่าน 3 รอบก็ใช้เวลา 267 วัน ซึ่งถ้าหักวันอาทิตย์ออกก็จะพบว่าใน 1 ปี เราจะอ่านพระวรสารทั้งสี่ได้ 3 รอบ ซึ่งพอที่จะทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้า และนำไปใช้กับชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องอ่านให้จบบท หรืออ่านกี่ตอน ยิ่งท่านอ่านได้หลายรอบ ท่านก็จะยิ่งเข้าใจพระวาจาของพระเป็นเจ้ามากขึ้น
สำหรับผู้มีพระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ คือ อาจจะเป็นพระคัมภีร์ฉบับพระพันธสัญญาใหม่ หรือพระคัมภีร์ฉบับที่มีทั้งพระพันธสัญญาเดิมและพระพันธสัญญาใหม่ ก็ใคร่จะขอให้ท่านอ่านพระวรสารทั้งสี่ก่อน คือ ของนักบุญมัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น ก่อนแล้วจึงแนะนำให้อ่านพระวรสารอื่นๆภายหลัง
3.วิธีการอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง
การอ่านพะคัมภีร์แต่ละบทหรือแต่ละตอนนั้น ขอให้อ่าน 3 รอบ หรือให้อ่านซ้ำกัน 3 ครั้ง
3.1 การอ่านครั้งแรก
การอ่านพระคัมภีร์ครั้งแรกให้อ่านอย่างเดียว แต่ให้อ่านช้าๆ อ่านไปคิดไป รำพึงไป และทำความเข้าใจในพระวาจาแต่ละประโยคให้เข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อเราจะได้ทราบว่า พระเป็นเจ้าตรัสอะไรกับเราและพระองค์มีพระประสงค์ให้เราทำอะไร ไม่ใช่อ่านผ่านไปเลยๆ หรืออ่านเพียงเพื่อให้จบเท่านั้น
3.2 การอ่านครั้งที่สอง
การอ่านครั้งที่สอง ให้อ่านอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่คราวนี้ให้เตรียมดินสอสี หรือดินสอเรืองแสงเอาไว้ข้างๆตัว 1 ด้าม ไม้บรรทัดเล็กๆ 1 อัน หรือกระดาษแข็งเล็กๆ 1 แผ่น เอาไว้ด้วย เมื่ออ่านพบพระวาจาตอนใดที่ประทับใจและคิดว่าจะนำมาใช้กับชีวิตของเราได้ก็ขีดเส้นใต้ด้วยดินสอสี หรือดินสอเรืองแสง โดยไม่ต้องกลัวว่าหนังสือจะสกรก (เพราะพระคัมภีร์มีไว้อ่าน ไม่ใช่มีไว้เก็บ)
ในบทที่อ่านหรือตอนที่อ่าน อาจจะมีข้อความประทับใจเพียง 1 ประโยค หรือหลายประโยค หรือหลายตอนก็ให้ขีดเส้นใต้ทุกประโยคที่สนใจ หรือ ประทับใจเอาไว้ สุดแต่จะมีความประทับใจมากหรือน้อย
3.3 การอ่านครั้งที่สาม
การอ่านครั้งที่สามไม่อาจหมดทั้งบทหรือทั้งตอน เช่นครั้งที่หนึ่ง หรือครั้งที่สอง แต่ให้อ่านเฉพาะประโยค หรือถ้อยคำที่ขีดเส้นใต้ไว้เท่านั้น
แต่ให้อ่านซ้ำๆ หลายครั้ง เพื่อให้ข้อความนั้นถูกจดจำไว้ได้ในสมอง และเมื่อตองการจะใช้ก็ให้นำออกมาใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องกลับไปค้นหาที่บ้าน และเพื่อให้จำได้แม่นยำมากขึ้น เวลากลางวันหลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ก็อาจจะนำมาทบทวนความจำดูอีกครั้งว่าจำได้จริงหรือเปล่า เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเราจำได้จริง
การจำพระวาของพระเจ้า บางคนก็จำเฉพาะถ้อยคำอย่างเดียว บางคนก็จำที่มาของพระวาจานั้น ว่ามาจากพระวรสารฉบับไหน บทที่เท่าไร และข้อไหนด้วย จึงจะช่วยให้คนที่สนใจสามารถกลับไปค้นหาพระวาจาตอนนั้นจากพระคัมภีร์ที่บ้านได้
แต่ถ้ามีอายุมากแล้วจำไม่ค่อยได้ การจำถ้อยคำในพระวาจาของพระองค์ตอนนั้นๆก็น่าจะเพียงพอแล้ว
4. การสวดโมทนาคุณพระหลังจากอ่านพระคัมภีร์
ทุกครั้งก่อนจะเลิกอ่านพระคัมภีร์ให้ทำการสวดโมทนา ขอบพระคุณพระเป็นเจ้าที่ได้ทรงประทานพระพรให้เราได้อ่านพระวาจาของพระองค์ และขอให้พระองค์ได้ให้พระจิตเจ้าให้เราได้ทราบถึงข้อพระวาจาของพระองค์อย่างลึกซึ้งและถูกต้อง เพื่อว่าเราจะได้นำพระวาจาของพระองค์ไปใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์
นี้คือขั้นตอนง่ายๆในการอ่านพระคัมภีร์แบบง่ายๆด้วยตนเอง ซึ่งคริสตชนควรจะได้นำไปใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ตามลำพัง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การอ่านพระคัมภีร์เป็นนิสัยประจำวัน ผู้อ่านควรจะทำการอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน (อาจกเว้นวันอาทิตย์ 1 วัน เพราะได้ฟังพระวาจาจากบทเทศน์ของคุณพ่อขณะที่ร่วมบูชามิสซาวันอาทิตย์แล้ว) พร้อมทั้งกำหนดช่วงระยะอ่านพระคัมภีร์เป็นการตายตัวด้วย เพื่อจะได้เพาะนิสัยการอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำและไม่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ส่วนจะเป็นเวลาใดนั้นก็สุดแล้วแต่ความสะดวกของผู้อ่านเอง อาจจะเป็นตอนเช้าหลังตื่นนอน ก่อนไปทำงานหรือตอนค่ำก่อนนอน หรือ เวลาอื่นๆ ที่เหมาะสมกับตนเอง เช่น หลังทานอาหารเที่ยงก็ได้