ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCESE

๑๓ มิถุนายน นักบุญอันตน แห่ง ปาดัว Saint Anthony of Padua

วันที่ ๑๓ มิถุนายน
นักบุญอันตน แห่ง ปาดัว
Saint Anthony of Padua



องค์อุปถัมภ์ : ประเทศโปรตุเกส, คนโง่, คนยากไร้, คนป่วย, การหาของที่หายไป, หญิงโสด, วอนขอการมีบุตร

            นักบุญอันตนแห่งปาดัว เป็นพระสงฆ์ และนักปราชญ์ของพระศาสนจักร ท่านเกิดที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๑๙๕ ท่านเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ในพระราชวังใกล้กับอาสนวิหารของกรุงลิสบอน มีนามเดิมว่า แฟร์นันโด เด โบยญอน เป็นบุตรของมาร์ติโน เด โบยญอน ผู้ว่าราชการของเมืองลิสบอน และเทเรซา คาเวรา นับตั้งแต่เริ่มแรก ชีวิตของท่านเป็นชีวิตแห่งการถวายตัวโดยไม่รู้ตัว ท่านเป็นคนอ่อนหวาน เห็นใจผู้อื่นและเต็มไปด้วยความรัก ท่านได้อุทิศตนเป็นพิเศษต่อคนยากจน ผู้ที่ได้รับความโศกเศร้าและอยู่ในอันตราย

          วันหนึ่งในวัยเยาว์ ขณะที่ท่านคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระแท่นแม่พระในอาสนวิหารดวงตาทอดมองศีลมหาสนิทที่อยู่ในตู้ศีลฯ ปีศาจจิตโสโครกตนหนึ่งได้ปรากฏมาหาท่าน ท่านตกใจมาก แต่ด้วยสัญชาติญาณของผู้ศรัทธา ท่านลุกขึ้นและทำสำคัญมหากางเขน ภาพนั้นก็หายไป แต่จนถึงบัดนี้ เครื่องหมายกางเขนศักดิ์สิทธิ์อันนี้ยังคงปรากฏอยู่บนแผ่นหินอ่อนอย่างไม่เลือนลาง เมื่ออายุ ๑๕ ปี ท่านได้เข้าเป็นนักบวชของคณะเอากุสติน ที่อารามของนักบุญวินเซนต์ นอกกำแพงเมืองลิสบอน ตลอด ๒ ปี ที่ใช้ชีวิตนักบวชอยู่ที่นั่นมักมีมิตรสหายเก่ามาเยี่ยมเยียนมิได้ขาด ท่านจึงขออนุญาตย้ายไปอยู่ในที่อารามฤๅษีแห่งซานตาครูส ซึ่งเป็นบ้านแม่ของคณะเอากุสติเนียน ห่างจากกรุงลิสบอนเกือบร้อยไมล์ ท่านใช้เวลา ๘ ปีที่นี่ ในความนบนอบ ในการภาวนา ในการศึกษาเล่าเรียน ที่อารามแห่งนี้ท่านได้รักษาฤๅษีที่ป่วยเป็นโรคประสาทซึ่งอาละวาดอย่างรุนแรงให้หายขาด ด้วยการเอาเสื้อหล่อคลุมศีรษะของผู้ป่วยที่อารามฤๅษีแห่งซานตาครุสนี้ ท่านได้มีโอกาสรู้จักกับฤๅษีห้าท่านของคณะนักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี และท่านก็เริ่มสนใจพวกเขาเป็นการส่วนตัว ซึ่งต่อมาฤๅษีทั้งห้าท่านได้กลายเป็นมรณะสักขีที่ประเทศโมรอกโก และได้มีการสร้างสักการสถานที่เก็บพระธาตุที่ซานตาครูส ในที่สุดท่านได้ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นนักบวชและสวมเครื่องแบบสีน้ำตาลของคณะฟรังซิสกัน และได้รับนามใหม่ว่า อันตน

            ท่านได้ชื่อว่า คุณพ่ออันตนนักเทศน์ และได้ทำอัศจรรย์ต่างๆมากมาย ท่านเป็นบิดาแห่งเทวศาสตร์ด้านฌาน การเทศน์สอนของท่านมักจะได้รับการยืนยันโดยการอัศจรรย์ในขณะอยู่ที่อิตาลี ท่านเทศน์เป็นภาษาอิตาเลียน ขณะที่อยู่ประเทศฝรั่งเศสท่านก็เทศน์เป็นภาษาฝรั่งเศสแม้ว่าท่านไม่เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสเลยก็ตามความสามารถในการเทศน์ของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะชนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๑๒๒๒ โดยที่คุณพ่อกราเซียนได้ขอให้คุณพ่ออันตนพูดเตือนใจผู้ที่จะรับศีลบวช ความซื่อๆ และความสละสลวยของภาษาที่ใช้ พร้อมกับท่าทางของท่านช่วยท่านได้มาก ทำให้ท่านได้ชื่อว่า คุณพ่ออันตนนักเทศน์ในเวลาต่อมา และได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเทศน์สั่งสอนในที่ต่างๆ

            ครั้งหนึ่งที่เมืองรีมีนี ซึ่งมีพวกถือนอกรีตอยู่มากมาย นักบุญอันตนต้องการที่จะนำพวกเขากลับคืนสู่แสงสว่างแห่งความเชื่อที่แท้จริงและในหนทางแห่งฤทธิ์กุศล ท่านได้เทศน์ให้พวกเขาฟังเป็นเวลาหลายวันเกี่ยวกับความเชื่อในพระคริสตเจ้าและเกี่ยวกับพระคัมภีร์ แต่พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านเท่านั้น แต่กลับปฎิเสธที่จะฟังท่านเหมือนกับคนบาปที่ใจแข็งและหัวดื้อ ท่านนักบุญจึงไปที่ตลิ่งริมแม่น้ำ และเริ่มเทศน์ให้ปลาฟังในพระนามของพระเป็นเจ้า ฝูงปลามาชุมนุมกันมากมายเพื่อฟังเทศน์ เมื่อเห็นอัศจรรย์เช่นนี้ชาวเมืองก็เริ่มทยอยกันออกมาและบรรดาหัวหน้าของพวกถือนอกรีตก็มากับเขาด้วย พวกเขาสะเทือนใจมากเมื่อได้เห็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น พร้อมหน้ากันกราบลงแทบเท้าของนักบุญอันตนเพื่อฟังคำเตือนของท่าน วันหนึ่งท่านนักบุญอันตนได้เข้าพักที่บ้านของชาโตเนิฟ ผู้ที่มีความเคารพรักท่านนักบุญอันตนพร้อมคณะก็เข้าพักในห้องพัก และเริ่มสวดภาวนาจนดึก เจ้าของบ้านซึ่งอยู่ห้องถัดไปรู้สึกตกใจเพราะแสงสว่างที่ลอดออกมาจากช่องประตูห้องนักบุญอันตน จึงวิ่งไปที่ห้องแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะกลัวว่าจะรบกวนแขก จึงหยุดเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคุยกัน เขาจึงสนใจ และแอบมองทางรอยแตก เขาได้เห็นภาพนักบุญอันตนคุกเข่าอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งมีหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่งเปิดอยู่ บนหนังสือเล่มนั้นเขาแลเห็นร่างกายของพระกุมารเยซู ส่องแสงเรืองๆออกมาจากทุกด้าน ใบหน้าส่องแสงสวยงามมาก แสงอันสดใสส่องไปทั่วห้องและจากม่านหมอกบางๆซึ่งส่งกลิ่นหอมจากสวรรค์ พระกุมารทรงเอนเข้าซบในอ้อมกอดและกระซิบที่หูของท่านของนักบุญอันตน

            ท่านนักบุญอันตนเลือกเมืองปาดัวเป็นที่พำนัก และจบชีวิตลงที่นั่น ในปี ค.ศ.๑๒๓๑ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๓๖ ปี ศพของท่านถูกนำไปไว้ที่วัดซานตา มารีอา ในเมืองปาดัวบรรจุอยู่ในโกฏหินอ่อน จากสถานที่แห่งนี้ อัศจรรย์มากมายได้เกิดขึ้น คนตาบอดมองเห็นได้ คนหูหนวกได้ยิน คนง่อยเดินได้ และคนป่วยกลับหายเป็นปกติ เป็นเวลากว่า ๓๐ ปี ที่ศพของนักบุญอันตนประดิษฐานอยู่ที่สักการสถานหินอ่อนที่วัด ซานตา มารีอา ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๒๖๓ ได้มีการเคลื่อนย้ายไปยังพระแท่นกลางในวัดแห่งใหม่ โดยนักบุญบอนาแวนตูรา ซึ่งคณะฤๅษีน้อยได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ท่าน ในการเปิดสักการสถานในโอกาสนี้ก็พบว่าศพได้กลายเป็นฝุ่นหมดแล้วแต่ว่าลิ้นยังคงอยู่ในสภาพสีธรรมชาติ นักบุญบอนาแวนตูราอุทานออกมาในขณะขนย้ายอัฐิว่า “โอ! ลิ้นที่ได้รับพระพร ซึ่งสรรเสริญพระเป็นเจ้าอยู่ตลอดการและทำให้ผู้อื่นสรรเสริญพระองค์ด้วยบัดนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระเป็นเจ้าทรงยกย่องเจ้าของขนาดไหน”



ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 "บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง"

เนื้อหาและบทเรียน