พระเจ้าทรงเลี้ยงดูบทเทศน์เรื่อง “พระเจ้าทรงเลี้ยงดู”
           พระคัมภีร์: มัทธิว 15:29-37 ;พันธสัญญาเดิม : อิสยาห์ 25:6-10 
           จะมีอะไรที่จะสามารถดับความหิวกระหายและความต้องการที่อยู่ในใจของมนุษย์ได้?
           ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวทำนายว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงจัดงานเลี้ยงในสวรรค์ให้กับประชากรทุกคนอย่างอิ่มหนำ(อสย 2:6-8)

           พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาทำให้คำสัญญานั้นเป็นความจริง อัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำเป็นทั้งเครื่องหมายแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า และแสดงให้เห็นถึงพระฤทธานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้า และยังแสดงให้เห็นถึงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอีกด้วย

           เมื่อบรรดาสานุศิษย์ได้พบกับการทดลองเรื่องของอาหารที่สามารถเลี้ยงดูประชาชนได้ถึง 4000 คนจากดินแดนที่ห่างไกลจากเมืองหลายกิโลเมตรนั้น ทีแรกพวกเขาถึงกับอุทานว่า “ในที่เปลี่ยวเช่นนี้ เราจะหาอาหารจากที่ไหนให้ประชาชนเหล่านี้กินจนอิ่มได้”

           ทำให้นึกถึงชาวอิสราเอลเองก็ต้องเพชิญหน้ากับเรื่องของการอดอาหารในถิ่นทุรกันดารเช่นกันเมื่อต้องเดินทางอยู่ในทะเลทรายขณะที่หนีชาวอียิปต์ ที่นั้นพวกเขาได้รับอาหารจากสวรรค์คือ “มานนา”

           เช่นเดียวกันพระเยซูเจ้าเองทรงจัดหาขนมปังมากมายเพื่อดับความหิวให้กับประชาชนที่มาฟังการเทศน์สอนของพระองค์ในที่ห่างไกล พระวรสารบันทึกไว้ว่าทุกคนต่างอิ่มหนำและยังมีเหลือให้เก็บไว้อีกด้วย

            ในการทวีขนมปังและปลานี้ เราได้เห็น “เครื่องหมาย” และ “สัญลักษณ์” ที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะบอกเรา นั้นก็คือ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ถึงความต้องการของเราและพระองค์ทรงเอาใจใส่เราเสมอ” และเมื่อพระเจ้าทรงให้อะไรแก่เรา พระองค์จะทรงให้อย่างอุดมสมบูรณ์ พระวรสารบันทึกไว้ว่า “เมื่อทุกคนกินอิ่มแล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงเจ็ดตะกร้า”

           “เลขเจ็ด” เป็นสัญลักษณ์ของ “ความสมบูรณ์และความครบครัน” เมื่อพระเจ้าประทานพระพร พระองค์จะทรงประทานให้จนทุกคนพอใจ เมื่อพระเจ้าทรงทำอะไรให้กับประชาชนพระองค์ทรงมอบให้อย่างอุดมสมบูรณ์ ให้มากกว่าที่เราจะรับได้ หรือเกินความต้องการของเราเสียอีก

            เมื่อพิจารณาดูอัศจรรย์นี้ เราจะเห็นได้ว่า พระเยซูเจ้าทรงบำรุงเลี้ยงดูเราด้วย “พระวาจา” ของพระองค์และ “ขนมปังสวรรค์” ขนมปังสวรรค์นี้มีสองความหมายคือ อาหารที่เรากินกันอยู่ประจำวัน และศีลมหาสนิทอาหารฝ่ายจิตใจของเรา

เรื่องพระวาจาของพระเจ้า
             พระวาจามีความจำเป็นสำหรับชีวิตฝ่ายจิตของเรา พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มนุษย์มิได้ดำรงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำรงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”(มธ 4:4)

             พระวาจาช่วยให้เราเอาตัวรอดไปสวรรค์เพื่อรับชีวิตแห่งความสุขนิรันดรได้ “จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน พระวาจานั้นช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้”(ยก 1:21) “ผู้ที่ฟังวาจาของเรา และมีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร์”(ยน 5:24)

             พระวาจาเป็นสมบัติที่ไม่มีใครมาแย่งจากเราไปได้ “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”(ลก 10:41-42)
มีความสุขมากกว่าเป็นพ่อแม่พี่น้องกันอีก “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”(ลก 11:28)

            คนที่ฟังพระวาจาแล้วนำไปปฏิบัติจะมีชีวิตที่มั่นคง ยืนยง “ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตามก็เสมือนคนที่มีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน”(มธ 7:24)

วิธีการอ่านพระคัมภีร์
• หาพระคัมภีร์ที่เหมาะสมกับวัยของเรา หุ้มปกให้สวยงาม
• หาปากกาหรือดินสอสีเพื่อขีดถ้อยคำที่ประทับใจ
• หาสถานที่สงบๆในบ้านหรือที่ทำงาน เพื่ออ่านพระคัมภีร์
• นั่งเงียบๆวอนขอพระจิตเจ้าช่วยเราให้เข้าใจพระวาจา หายใจเข้าออกลึกๆ 5 ครั้ง
• เลือกอ่านพระคัมภีร์ตอนใดตอนหนึ่ง อ่านอย่างตั้งใจ อ่านช้าๆ ถ้าเจอข้อความหรือประโยคใดที่สะกิดใจให้ใช้ดินสอสีขีดเส้นใต้หรือใช้ปากกาเน้นสีขีดไว้
• อยู่กับคำๆนั้น อ่านซ้ำๆให้ก้องอยู่ในใจของเรา
• เงียบฟังเสียงของพระเจ้า บอกกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าพร้อมแล้วพระเจ้าข้า โปรดตรัสเถิดพระเจ้าข้า” นั่งนิ่งๆพยายามอย่าวอกแวก ถ้าวอกแวกให้สวดภาวนาซ้ำๆในใจว่า “โปรดตรัสเถิดพระเจ้าข้าๆๆๆๆ”
• เมื่ออยู่เงียบๆได้สักพักหนึ่ง ขอลาพระเจ้าไป ด้วยการขอบพระคุณพระองค์ และให้พระวาจาตอนนั้นเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา

เรื่องขนมปัง
             ความหมายแรก “อาหารประจำวัน” เมื่อเราได้อ่านเรื่องการทวีขนมปังเลี้ยงประชาชนจำนวนมากนี้ ทำให้เรานึกถึง “บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” ซึ่งเป็นบทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนสานุศิษย์ให้ภาวนา ในตอนกลางของบทภาวนานี้สวดว่า “โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้”

          ในสมัยของพระเยซูเจ้าและจากคำภาวนาดั่งเดิมนั้นใช้คำว่า “ขนมปัง” ซึ่งหลายๆประเทศไม่ได้กินขนมปัง จึงมีการเปลี่ยนเป็นข้าวบ้างในประเทศที่กินข้าวเป็นอาหารหลัก และขอปลาประจำวันสำหรับคนในอลัสกา
แต่ที่น่าสังเกตคือ เมื่อเราสวดโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ “ข้าพเจ้าทั้งหลาย” ในวันนี้ เราไม่ได้สวดว่า “โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ฉัน” เราภาวนาเพื่อผู้อื่นด้วย เราไม่ได้หิวคนเดียวแต่คนอื่นๆก็หิวเหมือนกัน และบางคนหิวมากกว่าตัวเราด้วยซ้ำไป ดังนั้นเราจึงควรคิดถึงผู้อื่นในการภาวนาของเราด้วย

           อีกประเด็นหนึ่งที่เราควรจดจำไว้ก็คือ เราไม่ควรภาวนาเพื่อจะได้มีอาหารกินในตอนเช้า แล้วก็นั่งงอมืองอเท้ารอให้พระเจ้าประทานอาหารมื้ออื่นๆมาให้เรา เราเองต้องทำงานด้วย เราต้องทำงานในของเรา เป็นความจริงที่พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าพระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงเลี้ยงดูนกต่างๆไม่ให้อดตาย แต่พระองค์ไม่ได้ทรงหย่อนอาหารมาจากสวรรค์ให้นกเหล่านั้น แต่นกต่างๆจะ “ต้องบินออก” ไปแล้วหาอาหารกินด้วยตนเอง

           ดังนั้นเรื่องของขนมปังในความหมายนี้จึงมีข้อคิดที่ดีสำหรับเราสามประการ คือ 
         หนึ่ง พระเจ้าทรงรักและห่วงใยเราทรงประทานสิ่งของต่างๆเพื่อให้เราได้ยังชีพอยู่ได้อย่างพอเพียง
         สอง เราสวดภาวนาเพื่อการดำรงชีวิตประจำวันของเรา แต่ไม่ควรภาวนาเพื่อตัวเองเท่านั้น เราควรภาวนาเพื่อผู้อื่นและต้องเผื่อแผ่อาหารการกินหรือข้าวของต่างๆให้กับคนอื่นๆด้วย
         สาม เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีพระเจ้าทรงเตรียมสิ่งต่างๆให้เราแล้วแต่เราต้องหาให้เจอด้วยตัวของเราเอง

ความหมายของศีลมหาสนิท
          ขนมปังศักดิ์สิทธิ์เป็นรูปแบบของอาหารจากสวรรค์เช่นเดียวกับมานนา คือ ศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นพระ กายของพระเยซูคริสตเจ้า นี้เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเห็นได้ทุกครั้งที่เรามาร่วมพิธีบูชามิสซาฯ

           เมื่อเรามารับศีลมหาสนิทพระสงฆ์จะชูแผ่นศีลต่อหน้าเราแล้วเตือนเราว่า “นี้คือพระกายพระคริสตเจ้า” เราก็ตอบว่า “อาแมน” หมายความว่าอย่างไร เรารู้สึกอย่างไร ถ้าเราสำนึกถึงสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่เราจะต้องเตรียมตัวให้ดี ทำด้วยความสำรวม พระเจ้ากำลังอยู่กับเรา ดังนั้นเราควรกระทำด้วยความระมัดระวัง เราจะให้มือรับหรือปากรับไม่สำคัญ จะยืนหรือคุกเข่าก็ไม่สำคัญแต่ควรจะให้ออกมาจากจิตสำนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการกระทำของเรา

           เมื่อขณะที่รับศีลฯอยู่ในปากของเรา เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด เราควรคุกเข่าสวดภาวนาส่วนตัวของเรา เรามีอะไรจะบอกพระองค์จะพูดคุยกับพระองค์ตามลำพัง เพราะเรากำลังอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุด พระองค์ทรงประทับอยู่ตัวของเราเลยทีเดียว 

          เมื่อรับพระองค์เข้าไปในใจของเราแล้ว เราจะต้องประพฤติตนให้เหมือนกับพระเยซูเจ้า เพราะเราได้กลับเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว มีคำกล่าวว่า “กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น” เรารับพระเยซูเจ้าเข้าไปในร่างกายของเรา เราจึงต้องเป็นเหมือนกับพระองค์ คือ คิดดี พูดดี ทำดี เช่นเดียวกับพระองค์

          เราต้องสำนึกถึงคำว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน” ไปตลอดเวลา เพราะพระองค์ประทับอยู่ในตัวของเรา เราต้องเคารพตัวของเราเอง ร่างกายของเรา เราต้องไปในสถานที่ที่ควรไป ปฏิบัติตนเองเหมือนกับที่ปฏิบัติกับพระองค์เอง มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยความเคารพ ตัวเราก็มีพระเจ้าสถิตอยู่ เพื่อนๆก็มีพระเจ้าสถิตอยู่ เราจึงต้องเคารพกัน และรักกัน

         “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถดับความหิวกระหายและความปรารถนาต่างๆในหัวใจของลูก โปรดให้ลูกได้กระหายหาพระอาณาจักรของพระองค์และขอให้ได้พบกับความชื่นชมยินดีในการประทับอยู่ของพระองค์ โปรดประทานอาหารจากสวรรค์และบำรุงชีวิตของลูกด้วยพระวาจาของพระองค์ด้วยเทอญ อาแมน”