ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011
(อสย.49:14-15; คร.4:1-5; มธ.6:24-34)
"อย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้"

1. พี่น้องที่รัก ข้อคิดประจำอาทิตย์นี้ คือ “อย่ากังวลใจถึงวันพรุ่งนี้”
2. ให้เราเริ่มจากบทอ่านที่ 1 จากหนังสือประกาศกอิสยาห์ เราได้รับฟังข่าวดีว่า “แต่ศิโยนพูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงละทิ้งข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว”  “หญิงคนหนึ่งจะลืมบุตรที่ยังกินนม และจะไม่สงสารบุตรที่เกิดจากครรภ์ของนางได้หรือ” แม้หญิงเหล่านี้จะลืมได้ เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย” (อสย. 49:14-15) คำที่เราควรใส่ใจอย่างมาก คือ “เราจะไม่มีวันลืมเจ้าเลย”
3. พระวาจาของพระเจ้าตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรามนุษย์ เพราะพระองค์มิได้ทรงเป็นแค่ “ผู้สร้าง” เรามาเท่านั้น แต่ทรงเป็น “บิดา” ที่ทรงเฝ้าพิทักษ์ดูแลเราอีกด้วย ในขณะที่เรากำลังดิ้นร้นด้วยความทุกข์ลำบากต่างๆในโลกนี้ พระวาจาตอนนี้ให้ “กำลังใจ” เปรียบเหมือนกับสายฝนยามที่แผ่นดินกำลังแห้งแล้ง ขอให้เราจำคำนี้ไว้ในใจของเราเสมอ “เราไม่มีวันลืมเจ้าเลย”

4. บทอ่านที่สองจากจดหมายฉบับที่ 1 ของนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ ได้พูดถึงพันธกิจของบรรดาอัครสาวก “คนทั้งหลายจงยึดถือว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระคริสตเจ้า เป็นผู้จัดการดูแลธรรมล้ำลึกของพระเจ้า คุณสมบัติที่เขาแสวงหาในผู้จัดการคือต้องเป็นผู้ที่ไว้ใจได้”

5. คำสองคำที่มีความหมายจากข้อความนี้คือ คำว่า “ผู้รับใช้” และ “ผู้จัดการ” คำทั้งสองในสมัยนั้นใช้ในความหมายถึงการเป็น “ผู้ช่วย”  และ การเป็น “ผู้ช่วยเหลือ” บรรดาอัครสาวกรู้ตัวดีว่าพวกเขาเป็นเพียงผู้ช่วยหรือผู้จัดการในการนำหลักธรรมคำสอนของพระเยซูออกไปประกาศแก่ประชาชน ข่าวดีที่ประกาศนี้มิใช่เป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาต้องซื่อสัตย์และรับผิดชอบอย่างเต็มที

6. ดังนั้นในการทำงานรับใช้พระเจ้า เราจึงต้องจงรักภักดีต่อองค์พระเยซูเจ้า เราเป็นเพียงคนใช้ที่ไร้ค่าของพระเจ้า ท่าทีของเราต่อพระเจ้าก็คือเชื่อฟังและไว้วางใจ

7. ที่สุดในบทพระวรสาร (มธ.6:24-34) พูดถึงการรับใช้นายสองคน พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” ศิษย์ของพระเยซู ไม่สามารถแบ่งแยกหัวใจออกเป็นสองส่วนได้

8. พระเยซูเจ้าทรงเตือนศิษย์ของพระองค์ให้ระมัดระวังการอยากได้ใคร่มีทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกซึ่งเป็นเสมือนพระเท็จเทียมที่จะทำให้ความเลื่อมใสศรัทธาหรือความจงรักภักดีที่เรามีต่อพระเจ้าสูญเสียไป

9. การที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากังวลใจ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิจการดื่ม การแต่งกาย ฯลฯ นี้ คำว่ากังวลใจหมายถึง “อย่าทำเกินไป” เกินจนทำให้ความศรัทธาหรือความจงรักภักดีต่อพระเจ้าสูญเสียไป เพราะใจของเรามุ่งแต่จะแสวงหาแต่เรื่องภายนอกเท่านั้น

10. สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งของพวกนั้นคือ ชีวิตจิตของเรานั้นเอง เราต้องห่วงชีวิตจิตของเรามากกว่าของพื้นๆพวกนั้น

11. ถ้าเรามีความไว้วางใจในพระเจ้า เราจะไม่กังวลใจ แต่ถ้าเราไม่ไว้วางใจในพระเจ้าเราก็จะเริ่มเก็บสะสมทุกอย่างที่เราคิดว่าจะมีประโยชน์ต่ออนาคตของเรา นี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเกี่ยงกับความมั่นคงของชีวิต

12. พระเยซูเจ้าสอนให้เรา “จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้”

13. ตัวอย่างเรื่องนกนี้เป็นการแสดงถึงทัศนคติที่เราควรมีต่อเรื่องอาหารการกิน เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินมาซื้อหาอาหาร พระเยซูไม่ได้สอนให้เราเกียจคร้านในการทำงาน แต่ที่พระองค์ทรงสอนเราก็คืออย่ากังวลใจ อย่ายึดติด อย่าบ้างาน

14. เรื่องของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายพระเยซูทรงสอนไม่ให้ยึดติดกับเรื่องเหล่านี้เช่นกันโดยยกตัวอย่างของดอกไม้ในทุ่งนาที่สวยงาม พระเจ้าทรงห่วงใยดอกไม้และทำให้ดอกไม้สวยงามตามธรรมชาติ แล้วกับมนุษย์พระเจ้าจะมิทรงทำให้มนุษย์สวยงานตามธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้หรือ เรื่องนี้เราก็ไม่ควรหมกมุ่นเช่นกัน

15. เรื่องการสะสมหรือห่วงกังวลเรื่องเสื้อผ้าเปรียบกับคนในสมัยปัจจุบัน เราแต่ละคนสะสมเสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ไว้มากน้อยแต่ไหน...แล้วที่เก็บๆไว้ใช้หมดหรือทุกตัวหรือยัง...ทำไมบางคนจึงห่วงกังวลเรื่องเหล่านี้อย่างมากมาย

16. พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า “ดังนั้นอย่ากังวลใจและกล่าวว่าจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร เพราะสิ่งเหล่านี้คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว”

17. ความร่ำรวยมั่งคั่งของโลกนี้ขึ้นๆลงๆ หลายคนบูชาคนร่ำรวย หรือต้องการมีชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ไม่จีรัง มีตัวอย่างให้เราเห็นมากมาย

18. วันนี้พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า ตัวเรามีค่ามากกว่าดอกไม้ใบหญ้า มากกว่านกกระจอก คำสัญญาของพระองค์คือพระองค์จะไม่ลืมเราเลย แต่จะทรงดูแลเรามากกว่าที่พระองค์ทรงดูแลต้นไม้และนกต่าง ๆ

19. คำสอนของพระเยซูเตือนในเราให้รู้จักแยกแยะในการดำเนินชีวิต สอนให้เราเลือกสะสมระหว่างสิ่งของของโลก กับสมบัติฝ่ายจิต เราแต่ละคนเป็นเพียงคนใช้ของพระองค์ หรืออย่างดีแค่ผู้จัดการของพระองค์ ดังนั้นเราจึงต้องไว้วางใจในพระเจ้าอยู่เสมอ ในทุกๆกิจการของเรา เป็นบุญของผู้ที่ไว้วางใจในพระเจ้า

20. พี่น้องในพระคริสตเจ้า ให้เราภาวนาให้แก่กันและกัน เพื่อให้เราจะได้มีความเชื่อและความไว้วางใจในพระญาณเอื้ออาทรขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ต้องกังวลในถึงวันพรุ่งนี้