บทที่  27 ศีลเจิมคนไข้

จุดมุ่งหมาย     เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของศีลนี้ รู้วิธีปฏิบัติเมื่อเชิญพระสงฆ์มาโปรดศีลแก่คนไข้

ขั้นที่ 1  กิจกรรม       เกม “ยา กับ โรค”
         เตรียมบัตร 2 ชุด ชุดหนึ่งเขียนชื่อโรคใบละ 1 โรค เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน ท้องผูก ท้องเดิน เป็นหวัด ฯลฯ อีกชุดหนึ่งเขียนชื่อยาใบละ 1 ขนาน ให้ตรงกับโรคแต่ละโรคในบัตรชุดที่หนึ่ง เช่น ยาทัมใจ ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ปวดฟัน ยาถ่าย ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้หวัด ฯลฯ

วิธีเล่น แยกบัตร 2 ชุดค่ำไว้บนโต๊ะ พยายามสับให้ปะปนกันมากๆ
          ให้ผู้เรียนออกมาเลือกจับบัตรทีละคน โดยเลือกจากชุดๆละหนึ่งใบ
          ถ้าบัตรที่เลือกระบุชื่อโรคและยาตรงกัน ก็ชนะถ้าไม่ตรง ก็แพ้

ขั้นที่ 2  วิเคราะห์

         ให้ผู้เรียนช่วยกันบอกโรคที่รู้จัก ครูเขียนบนกระดานดำ เมื่อใครป่วยเป็นโรคอะไรก็ต้องไปหาหมอ ก็รักษาโดยให้ยา จะเป็นยาฉีดหรือยากินก็ได้ ยาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรักษาโรคต่างๆ มีขายมากมายตามร้านขายยา ทั้งยาจีน ยาไทย ยาฝรั่ง หรือแผนปัจจุบัน ถ้าไม่มียาจะเป็นอย่างไร ? ผู้คนคงเจ็บป่วยล้มตายกันเยอะ

สรุป     ยาเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับชีวิต (อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย)

ขั้นที่ 3  คำสอน

       1. คนเราอาจเจ็บป่วยได้ทั้งกาย และทางวิญญาณ ทางกายดังที่เห็นมาแล้วข้างต้น ทางวิญญาณก็คือตกในบาป ซึ่งต้องการการเยียวยารักษาเหมือนร่างกายเหมือนกัน
           การเยียวยารักษาวิญญาณในยามปกติก็กระทำโดยศีลแก้บาปดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน แต่การเยียวยารักษาวิญญาณในยามคับขัน หรือจำเป็น เช่น ในยามสูงอายุ ในยามป่วยหนักหรือหนักกว่าปกติ จะกระทะได้โดยอาศัย “ศีลเจิมคนไข้”
      
        2. ศีลเจิมคนไข้ก็คือ ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งขึ้นเพื่อประทานพละกำลังแก่ผู้สูงอายุ หรือเจ็บป่วย จะได้ต่อสู้กับความยากลำบากด้วยความพากเพียรยินดี ชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าในบั้นปลายชีวิต
พระเยซูคริสต์ทรงกำชับพวกสาวกว่า “จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย” (มธ. 10,8) และทรงส่งสาวกไปประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั่วโลกโดยประทานเครื่องหมายยืนยันว่า “เขาจะวางมือบนคนป่วยไข้และคนเหล่านั้นก็จะหายจากโรค” (มก. 16,18) และที่ชัดเจนที่สุดก็คือคำพยานของยากอบอัครสาวกที่กล่าวว่า “มีใครในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ ? จงเชิญผู้อาวุโส (พระสงฆ์) ในพระศาสนจักรมาสวดภาวนาเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมันในพระนามของพระเป็นเจ้า คำภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยคนป่วยให้รอดชีวิต และพระเป็นเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค และถ้าเขาได้กระทำบาป พระองค์ก็จะทรงอภัยบาปให้” (ยก. 5,14 – 15) นี่คือสิงที่คริสตชนเดิมปฏิบัติและกลายมาเป็นศีลเจิมคนไข้ในปัจจุบัน

          3. ผลของศีลเจิมคนไข้มีอยู่ 2 ประการ คือ
              1) รักษาสุขภาพกาย ให้แข็งแรง หายจากโรค อาศัยความเชื่อ หรือทำให้เขามีกำลังใจต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บด้วยความพากเพียรร่วมกับพระทรมานของพระเยซูคริสต์ผู้ตรัสว่า “จงแบกกางเขนของตนแล้วเดินตามเรามา ใครยังเสียดายชีวิต ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ใครที่ยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด....เพราะว่าเมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับทวยเทพเทวาของพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ทุกคนตามการกระทำของเขา” (มธ. 16,24 – 27)
              2) อภัยบาปที่ได้กระทำ ทำให้วิญญาณสะอาดบริสุทธิ์สมที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามหากผู้รับศีลนี้สามารถรับศีลแก้บาปได้ ก็ให้เขารับศีลแก้บาปก่อนที่จะรับศีลเจิมคนไข้

           4. พิธีศีลเจิมคนไข้มีดังนี้ คือ พระสงฆ์จะสวดภาวนาสำหรับผู้สูงอายุ หรือ ผู้ป่วย และเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ (น้ำมันสำหรับคนป่วย) ที่หน้าผากและฝ่ามือทั้งสองของเขา พร้อมกับกล่าววาจาว่า “อาศัยการเจิมอันศักดิ์สิทธิ์นี้อาศัยพระเมตตาอันล้นพ้นของพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยท่านให้พ้นบาป อีกทั้งทรงพระกรุณาช่วยท่านบรรเทาทุกข์และช่วยให้รอด” ในกรณีคับขัน หรือมีคนป่วยมากมายหลายคนจะเจิมแต่เพียงหน้าผากแห่งเดียวก็ได้
ญาติพี่น้องควรจะอยู่ร่วมด้วยในพิธี และสวดภาวนาสำหรับผู้รับศีลในโอกาสนี้ด้วย

ขั้นที่ 4  ปฏิบัติ

  • ข้อควรจำ
    1. ศีลเจิมคนไข้ คือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งขึ้นเพื่อประทานพละกำลังแก่ผู้สูงอายุ หรือเจ็บป่วย เพื่อต่อสู้กับความยากลำบาก เพื่อให้หายจากโรคโดยอาศัยความเชื่อ และเพื่ออภัยบาปที่ได้กระทำ
    2. “ผู้ใดอยากเป็นศิษย์ของเรา ก็จงแบกกางเขนของตน แล้วตามเรามา” (มธ. 16,24)
    3. การเยียวยารักษาวิญญาณในยามสูงอายุ หรือป่วยหนัก โดยทางศีลเจิมคนไข้ จะทำให้ผู้รับศีลมีจิตใจเบิกบาน มั่นคง เปี่ยมด้วยความหวังในองค์พระเป็นเจ้า
  • กิจกรรม ร้องเพลง “โรคร้ายในวิญญาณ”
    โรคร้ายในวิญญาณ
    1. โรคร้ายเร้ารุมในกายา สูญสิ้นเงินตราเยียวยารักษาเพียงกาย
    ต้องทนจนถึงวันชีพวาย ในวันสุดทายต้องตายแม้นไม่ต้องการ

    2. แต่โรคร้ายใจแม้ไม่ดูแล ทิ้งให้เป็นแผลยังแต่แพ้พ่ายหมู่มาร
    หากใจไร้องค์คงต้องร้าวราน ช่างทร(ระ)มานวิญญาณที่ไร้ความดี

    3. พยาบาลหมอใดไม่รักษาได้ ขาดพระองค์ไปจิตใจไม่สมประดี
    นำยาอาหารประทานข้านี้ อย่าให้ราคีเปื้อนหมองวิญญาณ

    4. สักครั้งข้ายังหวังในความจริง จะไม่ทอดทิ้งทุกสิ่งจากพระวาจา
    จะขอรอรับทิพย์กายา เพื่อจะรักษาวิญญาณ์ข้าสู่เบื้องบน

    การบ้าน เยี่ยมญาติ พี่น้อง เพื่อที่เจ็บป่วย สวดภาวนาอุทิศให้ เยี่ยมเด็กๆที่เจ็บป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล นำของขวัญเล็กๆน้อยๆไปมอบให้